Dec-2016
สร้างรอยยิ้มแบ่งปันความสุขกับไทยเบฟ รวมใจต้านภัยหนาวปีที่ 17 ที่อุตรดิตถ์
ความสุขของการ “ให้” มันอยู่ที่ใจเราเอง
ตัวเองถือว่าค่อนข้างโชคดีที่ได้มีโอกาสเดินทางและได้เห็นมุมต่างๆของประเทศไทยค่อนข้างมาก ได้เห็นสภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ของคนชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลความเจริญ หลายที่ๆเรามองว่าเค้าขาดแต่ไม่เลย เค้ากลับอยู่กันแบบพอเพียง อยู่กันแบบ “เท่าที่มี” อย่างมีความสุข
หลายทริปเราจะซื้อขนมลูกอมติดรถไว้ เผื่อไปเจอเด็กๆก็จะได้แบ่งปันให้เค้าบ้าง มันเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็กน้อยที่เราสามารถแบ่งปันได้ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีโอกาสในชีวิตมากกว่าและได้เห็นอะไรมากมาย หลายทริปเหน็ดเหนื่อยกับการขับรถและเดินทาง แต่พอได้เห็นธรรมชาติที่สวยงามและได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆในพื้นที่มันก็หายเหนื่อยซะงั้น
ที่ผ่านมามีโอกาสได้ที่จะเป็นคน “ให้” ในหลายโอกาส ทั้งที่คิดทำกันเองกับครอบครัวหรือกับเพื่อนๆ โดยเดินทางไปบริจาคสิ่งของด้วยตัวเอง หลายครั้งก็ทำได้แค่ร่วมด้วยช่วยกันในด้านต่างๆและส่งใจไป
ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ได้ไปร่วมทริปกับไทยเบฟร่วมใจต้านภัยหนาวปีที่ 17 …. ใช่แล้ว ไทยเบฟได้แจกผ้าห่มผืนสีเขียวกว่า 3 ล้านผืนตลอด 17 ปีที่ผ่านมาน่ะ ซึ่งโครงการนี้ไทยเบฟเวอเรจร่วมกันกระทรงมหาดไทย น้อมนำพระราขดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในเรื่องของการให้และการแบ่งปัน มาเป็นแนวทางในการดำเนินงานของโครงการอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด “ร่วมสร้างสังคมแห่งการให้ที่ยั่งยืน” ดังเช่นที่พระองค์ทรงสร้างให้เป็นแบบอย่างมาตลอดพระชนม์ชีพซึ่งในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ทางไทยเบฟได้จัดมอบผ้าห่มจำนวน 2 แสนผืนแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ประสบภัยในเขตภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยแจกจ่ายในจังหวัดอุตรดิตถ์จำนวน 13,000 ผืน
การได้มามีส่วนร่วมในการ “ให้” ที่เราคุ้นตามาเป็นสิบปีทางจอโทรทัศน์ ข่าวหรือภาพตามสื่อต่างๆ กับ “ผ้าห่มสีเขียวของช้าง” ^^ การคืนกลับสิ่งดีๆสู่สังคมคือสิ่งที่ไทยเบฟทำมาตลอดระยะเวลายาวนาน 17 ปี และการที่เราได้มาเห็นการแบ่งปันในครั้งนี้ ได้เห็นการร่วมมือร่วมใจของหลายฝ่าย และเราสามารถรับรู้ถึงความสุขของผู้รับได้อย่างชัดเจน ได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆและชาวบ้านในทันที ทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมใจ สุขใจ คือเรียกได้ว่าสุขทั้งคนให้และคนรับกันเลย ทริปนี้จึงถือว่าเป็นการสร้างแรงบันดาลใจที่จะทำสิ่งดีๆแบบนี้บ้างในอนาคต เราอาจจะไม่ได้มีมากมาย แต่ก็ไม่ขาด ก็ตั้งใจจะทำเท่าที่ทำได้และเท่าที่โอกาสจะอำนวยแน่นอน
การเดินทางมาร่วมแจมทริปกับไทยเบฟในครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการขับรถไปอ.บ้านโคก อุตรดิตถ์ ซึ่งมันไกลมาก ด้วยระยะทางจากกรุงเทพนี่มันกรุงเทพเชียงใหม่กันเลย อ.บ้านโคกเป็นอำเภอที่อยู่ขอบชายแดนไทย-ลาว ที่มีจุดผ่านแดนถาวรภูดู่ ที่เราสามารถขับรถข้ามไปเที่ยวหลวงพระบางได้สะดวกที่สุด (เจ้าหน้าที่ว่างั้น) ด้วยระยะทางจากชายแดนเราไปถึงหลวงพระบางก็แค่สองร้อยกว่ากม. และอำเภอบ้านโคก นี้เป็นอำเภอที่อยู่ห่างไกลตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ประมาณ 170 กม. ซึ่งถือว่าไกลอ.เมืองมากที่สุดติดอันดับท๊อป 10 ในประเทศกันเลย
บ้านโคกเป็นอำเภอเล็กๆทีอยู่ในหุบเขา อากาศช่วงกลางคืนเย็นถึงหนาวจัดในช่วงฤดูหนาว ตอนที่เราไปเมื่อวันที่ 17-18 พย. กลางวันร้อนแต่กลางคืนอุณหภูมิลดฮวบเป็น 18-19 องศากันเลย เพราะฉะนั้นหน้าหนาวนี่คงไม่ต้องพูดถึงแน่ๆ บ้านโคกเป็นอำเภอที่เป็นทางผ่านไปอ.เวียงสา และนาน้อยของน่าน หรืออ.นาแห้วของเลยได้ แต่นักท่องเที่ยวยังมากันไม่ค่อยถึง และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ได้มาเที่ยวอุตรดิตถ์แถมมาไกลถึงขนาดนี้
ไหนๆก็มาถึงอุตรดิตถ์ทั้งที ก่อนถึงโรงเรียนเป้าหมายของเราคือโรงเรียนบ้านห้วยยาง ที่บ้านโคก เราได้ถือโอกาสแวะเที่ยวตามรอยพระบาทในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ด้วยการไปเที่ยวชมเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งเป็นเขื่อนที่สร้างขึ้นตามโครงการพัฒนาลุ่มน้ำน่าน เพื่อป้องกันอุทกภัยในพื้นที่ตอนใต้ของจ.อุตรดิตถ์ เดิมชื่อเขื่อนผาซ่อม ต่อมาได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาค ขนานนามว่าเขื่อนสิริกิต เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2511
ได้แวะชม “มเหสักข์” ต้นสักที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่อุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่ด้วย สถานที่สวยงามร่มรื่น และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถได้ทรงเสด็จมาทรงงานที่นี่ด้วยน่ะ
จุดผ่านแดนภูดู่
ด่านตม.ภูดู่ อ.บ้านโคก อุตรดิตถ์ เพิ่งแยกจากตม.น่านมาเมื่อเดือนสค.นี่เอง ด่านนี้ข้ามไปหลวงพระบางสะดวกสุด ระยะทางประมาณ 300 กม. ขับ 7-8 ชม.
ทุ่งปอเทืองสวยๆริมทาง
ตื่นเช้าตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง เพื่อเดินทางออกจากที่พักแถวๆบ้านม่วงเจ็ดต้น ไปโรงเรียนบ้านห้วยยาง ระยะทางไกลอยู่เกือบ 40 กม.และเราไม่ชินทางเลยเผื่อเวลาไว้ซักหน่อย ระหว่างทางได้เห็นแสงแรกของวันสวยเลยล่ะ แถมระหว่างทางหมอกขาวโพลนไปหมด บางมุมแอบเห็นทะเลหมอกอย่างสวยเลยแต่ไม่มีจุดให้ลงไปถ่ายภาพ ใจก็จดจ่อกับการหาทางไปโรงเรียน มืดก็มืดเลยไม่ค่อยได้จอดรถเก็บภาพวิวข้างทางกันซักเท่าไหร่ (มาถึงตอนนี้แล้วนึกเสียดาย)
ใช้เวลาเดินทางเกือบ 1 ชม.ก็มาถึงโรงเรียนบ้านห้วยยางตั้งแต่หกโมงครึ่ง เลยได้เก็บ super moon แบบแหว่งๆกับเค้าซักที
มีเวลาก่อนเริ่มงานเลยได้เดินเล่นชมธรรมชาติแถวๆนั้นก่อน
หมอกงามแสงงามยามเช้าที่บ้านห้วยยาง
โรงเรียนบ้านห้วยยางสวยงามสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ สมแล้วที่ได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทานปี 2552
ฟ้าสวยใสเป็นใจจริงๆ
เตรียมพร้อม ลงทะเบียน รับคูปอง แจกอาหารให้ชาวบ้าน ขนมให้เด็กๆก่อนไปเข้าเรียน มีการสอนย้อมผ้าดำจากกศน.อำเภอบ้านโคก และการแจกโบว์ดำให้กับชาวบ้านด้วย
สำหรับตัวเอง ทริปนี้สั้นมากสำหรับเดินทางไกลขนาดนี้ นอนคืนเดียวและตื่นเช้ามืด ทางทีมงานยิ่งหนักใหญ่เพราะมีทริปยาวต่อเนื่องหลายจังหวัด เห็นรอยยิ้มของชาวบ้านและเด็กๆที่มารับมอบผ้าห่มและอาหารแบบนี้ เชื่อว่าทุกคนหายเหนื่อยแน่นอน ^^
คนรับสุขใจ คนให้อิ่มใจ รู้สึกดีจังที่ได้มาอยู่ท่ามกลางพลังบวกมหาศาลแห่งการให้แบบนี้
ผู้ใหญ่ใจดีจากหลายภาคส่วนอาทิมูลนิธิหนังสือเพื่อไทย บริษัทิ เคพีเอ็มจี ภูมิไชย สอบบัญชี และบริษัทิโออิชิ กรุ๊ปที่ได้นำเอาคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์กีฬา ขนมเครื่องดื่มและทุนการศึกษามามอบให้เด็กๆอีกด้วยเสียดายมีเวลากับเด็กๆน้อยไปนิด เพราะรีบให้รีบรับและต้องเข้าห้องเรียนกัน
ถ่ายภาพร่วมกันหน่อย
ผ้าห่มสีเขียวที่คุ้นตามานานนนนทางทีวี วันนี้ได้เห็นของจริงซักที ^^