Oct-2018
OSAKA – KYOTO – NARA – KOBE กับ 20 จุดต้องไป !!!
Rhythm of Journey
จุดหมายครั้งนี้สำคัญเพราะเรามีเพื่อนร่วมทางไปญี่ปุ่นครั้งที่ 17
ครั้งนี้เรากลับไปซ้ำที่เดิมเน้นเที่ยวแบบชิลๆไม่เน้นวิวมาก
แต่ทริปนี้ไม่ธรรมดาแน่นอนและทริปนี้เราจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรมผ่าน EXPEDIA
ที่ตอนนี้มี Expedia Add-On จองตั๋วเครื่องบินแล้วรับส่วนลดโรงแรมสูงสุดถึง 51% กันเลย
เรียกได้ว่าคุ้มสุดคุ้มจริงๆ
ดูรายละเอียดแคมเปญ >> http://bit.ly/2SdsAOD
ดูดีลตั๋วเครื่องบิน + โรงแรม >> http://bit.ly/2PPKcyt
ครั้งที่มาแบกเป้เที่ยวญี่ปุ่น 2 อาทิตย์ เที่ยวรอบเกาะคิวชูและคันไซ
เราก็จองห้องพักผ่าน EXPEDIA มานั่นล่ะ
ทุกครั้งเราได้เห็นความสวยงามของญี่ปุ่นในมุมต่างๆกัน
จากหลายเมือง หลายภูมิภาค และครบทั้ง 4 ฤดูแล้วก็ตาม
ญี่ปุ่นมีความสวยงามที่แตกต่างกัน ประทับใจจนอยากให้เพื่อนที่รู้ใจ
ได้มาเห็นความสวยงามนั้นไปกับเรา การที่ไปเที่ยวแบบวิ่งถ่ายรูปขาขวิดคนเดียว
มันก็สนุกและอิสระดี แต่บางครั้งเราก็อยาก แบ่งปันความสวยงามของญี่ปุ่นให้เพื่อนร่วมทางที่รู้ใจบ้าง
เพราะมี #เพื่อนร่วมทาง เราได้ความอุ่นใจ และได้แชร์โมเม้นท์ดีๆไปด้วยกันตรงนั้น
และเพราะทริปนี้เรามีเพื่อนร่วมทางไปด้วย ต่อให้เราจะไปเจอพายุ สนามบินปิดเราก็ไม่หวั่นบอกเลย อิอิ
แถมยังมีคนถ่ายรูปให้ไม่อั้น แบบที่ไม่เคยมีรูปตัวเองมากขนาดนี้มาก่อน 555
ไหนๆก็มีคนถ่ายรูปให้แล้ว รีวิวนี้รูปเราเยอะหน่อยน่ะ คริคริ
.
จังหวะในการเดินทางของคนเราไม่เหมือนกัน
ไม่ว่าจะไปคนเดียวหรือไปกับใคร
ไปพบเจออะไร มันก็ล้วนแค่เป็นความทรงจำที่น่าจดจำทั้งสิ้น
.
ลองค้นหา RHYTHM OF JOURNEY ของเราได้ที่นี่เลย ==> http://bit.ly/2PlWotS
.
ดูรีวิวอื่นๆ ได้ที่นี่เลย เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีของเค้าด้วย สวยมากบอกเลย ^^
ที่ที่เที่ยว 15 วัน==> http://bit.ly/2O1zzH6
ที่พัก 8 โรงแรม ==> http://bit.ly/2AoRGn6
ตั้งแต่เริ่มต้นทริปนี้ก็ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่เพราะเราจองตั๋วไปวันที่โอซาก้าเจอพายุไต้ฝุ่นสะบักสะบอม สนามบินปิด เราลุ้นไฟลท์ยกเลิกกันวันต่อวันกันเลย และสุดท้ายมันก็ยกเลิกจริงๆ เลยทำให้เราต้องเลื่อนวันเดินทางไปวันที่เราสะดวกที่สุดซึ่งทำใหัวันเดินทางลดน้อยลง ต้องปรับแผนการเดินทางเพราะวันเที่ยวเหลือน้อยลง แถมไม่รู้ว่าจะไปเจอซากที่ระลึกจากพายุขนาดไหน แต่การที่ไปเที่ยวแบบไม่เน้นถ่ายรูปวิวมากนักมันก็ทำให้เที่ยวสบายขึ้น ไม่ต้องเน้นวิ่งเก็บภาพเหมือนที่เคย
เช็คลิสต์สำหรับโอซาก้า เกียวโต นารา โกเบ จดไว้เลยแล้วจะไม่พลาด !!!
1.ปราสาทโอซากัา
2. ตลาดคุโระมง
3. Shinsekai + หอคอย Tsutenkaku
4. เย็นอ่าวที่อ่าวโอซากัา
5. วัด Kiyomizu-dera
6. ศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกอินาริ หรือศาลเจ้าแดง (Fushimi Inari Shrine)
7. วัดคินคะคุจิหรือวัดทอง – Kinkakuji Temple
8. ป่าไผ่อาราชิยาม่า(Arashiyama)
9. รถไฟสายโรแมนติกซากาโน่(Sagano)
10. ชมวิวโอซาก้า จากตึก umeda sky
11. วัดโทไดจิและหลวงพ่อโต – Todaiji Temple & Daibutsu of Nara
12. เนื้อโกเบร้านเด็ด ที่ร้าน Steakland
13. มาโอซาก้าต้องทานมันปูมิโซะ ที่ร้าน Isomaru Suisan สาขาโดทงโบริ
14. Ichiran Ramen ราเมงข้อสอบ อร่อยล้ำสุดยอด
15. เดินเล่นย่าน Dotonburi
16. ชิมยาโกทากิ ร้านไหนก็ได้ อร่อยหมด 555
17. ขึ้นจุดชมวิว Harukas 300 บนตึก Abeno Harukas
18. นั่งชิงช้าสวรรค์ Tempozan
19. Universal Studio (อันนี้ไปทริปก่อนน่ะ แต่มาโอซาก้าต้องมา รอบนี้ไปไม่ทันจ้า)
20.แต่งกิโมโนเดินเที่ยววัด
20+1 >>>> มาโอซาก้าทั้งทีต้องถ่ายรูปกระพระเอกหน่อย คือแอ๊คท่าถ่ายกับป้ายกูลิโกะที่โดทงโบริน่ะ ไม่งั้นจะคุยกับคนอื่นเค้าไม่รู้เรื่องเด้อ 5555
ทริปนี้นอน จองโรงแรมที่เดียวเลย โดยใช้สิทธิ์ส่วนลดเพิ่มจาก EXPEDIA ADD-ON เป็นโรงแรมใหม่กริบสวยทำเลดีมากที่ โรงแรม SMILE HOTEL PREMIUM OSAKA HIGASHI-SHINSAIBASHI
กดดูราราคาได้ตามลิ้งค์จ้า>>> http://bit.ly/2yDLNBd
โดทงโบริ (Dotonbori)
อดีตเป็นย่านการค้า เริ่มตั้งแต่สะพานโดทงโบริบาชิไปจนถึงสะพานนิปปงบาชิ เป็นย่านที่มีสีสันมากในยามค่ำคืน ปัจจุบันยิ่งค้าขายกันหนัก ถ้าต้องการสัมผัสความเป็นโอซาก้า มาให้ถึงโอซาก้า ต้องมาที่นี่เลย เพราะที่นี่เป็นศูนย์รวมความบันเทิง มีร้านค้า ร้านอาหารตั้งเรียงรายอยู่นับไม่ถ้วน เรียกได้ว่ามาทุกวันก็ยังได้ ^^
จุดเด่นอีกจุดของที่นี่ก็ได้แก่ป้ายโฆษณามากมาย เอาตัวพระเอกมาเลยก็เห็นจะเป็นป้ายกูลิโกะนั่นล่ะ ใครผ่านไปมาต้องแอ๊คท่าถ่ายรูปเหมือนพระเอกกันแทบทั้งนั้น เราก็ไม่เว้นจ้า
ส่วนนางเอกของนย่านนี้ก็เห็นจะเป็นปูคานิล่ะมัง
เนื่องจากโรงแรมเราอยู่ชินไซบาชิ เราเลยเดินเล่นไปๆมาๆที่ย่านโดทงโบริ (Dotonbori) วันล่ะ 2 ครั้ง อิอิ จากโรงแรมเดินไปประมาณ 10 นาที ชิลมากๆ
ไปย่านนี้แน่นอนว่ามีแต่เรื่องกินเรื่องช๊อปล้วนๆ อ้อ ถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะด้วยจ้าาา การมีเพื่อนร่วมทางไปด้วยดีจัง ได้รูปกลับบ้านมาเพียบ อิอิ
ร้าน Ichiran
มาย่านนี้ต้องห้ามพลาด #ราเมงข้อสอบ ร้าน Ichiran ราเมงชื่อดังสัญชาติฟุกุโอกะ เพราะมันอร่อยสุดแล้วจ้าาา ร้านนี้คืออร่อยถูกปากมากก เป็นราเมงญี่ปุ่นที่ไม่เค็ม สั่งแบบน้ำซุปเข้มข้นสุด เผ็ดสูงสุดใส่พริกเยอะๆ น้ำซุปอร่อยนัวกลมกล่อมมาก นี่มากี่ครั้งไม่เคยอดทนรอคิวน่ะ รอบนี้มีเวลาเยอะเพราะพาสหาย เลยได้ตั้งใจรอคิวซักที ซึ่งอร่อยคุ้มค่ามากๆๆ
ปล….ห็นรูปแล้วกลิ่นและรสลอยมาเลย อร่อยจริงๆ
อ้อ สาขาที่ทานก็ที่โดทงโบริใกล้ๆกับดองกี้นั่นล่ะ สาขานี้เปิดบริการ 24 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นแนะนำให้เราไปหาที่นอนแถวๆนั้นเถอะ หิวเมื่อไหร่ก็เดินออกมาทานกันได้ชิลๆ อิอิ
ร้าน Isomaru Suisan
ใครชอบมันปูมิโซะ ต้องมาลองร้านนี้ อร่อยสุดๆ
ร้าน Isomaru Suisan ร้านขายอาหารทะเลปิ้งย่างญี่ปุ่นและอาหารญี่ปุ่นมากมาย ที่มีหลายสาขาทั่วประเทศญี่ปุ่นนับร้อยสาขา ร้านนี้เปิด 24 ชม. สะดวกที่สุด สาขาที่ไปทานแทบทุกครั้งที่มาโอซาก้าก็แน่นอนว่าเป็นสาขาที่ย่านโดทงโบริ พิกัดอยู่หัวมุมตรงประตูมังกรนั่นล่ะหาง่ายมากๆ
เมนูที่ต้องห้ามพลาดคือมันปูมิโซะ ราคาประมาณ 500 เยน ส่วนอื่นๆก็ธรรมดา หาทานได้ทั่วไปน่ะ คือไปที่นี่สั่งข้าวมาทานกับมันปูมิโซะก็ฟินแล้ว เอาจริง อิอิ
ตลาดคุโระมง (Kuromon Ichiba Market)
เป็นตลาดที่มีชื่อเสียงและเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองโอซาก้า ใครชอบทานอาหารทะเล ปลาดิบ ปูคานิ ขนมพวกของฝากหรือผลไม้ต้องแวะมาตำที่ตลาดคุโระมงน่ะ แต่ไม่ต้องมาเช้ามากเพราะร้านเค้ายังไม่เปิดเด้อ ตื่นสายหน่อยแล้วค่อยมาช่วงสายๆแล้วค่อยๆดูเลือกร้านทานเอา ราคาค่อนข้างต่างกันมากอยู่
การเดินทาง
เราเดินไปจากโรงแรมแค่ 10 นาที แค่จากที่อ่ชื่นให้นั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานีรถไฟใต้ดิน Nippombashi Station สาย Sakaisuji Line ออกที่ทางออก No.5 หรือ10

ใครชอบทานแนวปลาดิบ มาญี่ปุ่นเถอะ
เพราะนอกธรรมชาติที่สวยงามหลากหลาย และวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของญี่ปุ่นแล้ว เชื่อแน่ว่าอาหารญี่ปุ่นนี่ล่ะที่คนไทยเราชอบนักชอบหนา ดูได้จากร้านอาหารญี่ปุ่นแท้ ญี่ปุ่นปลอมมากมายในเมืองไทยที่เราสามารถเจอะเจอได้ถี่ยิบเหมือน 7 eleven ยังไงยังงั้น
ปราสาทโอซาก้า
ช่วงเวลาที่สวยที่สุดของปราสาทโอซาก้าคือช่วงซากุระบานเราเองมาที่นี่หลายครั้ง รอบนี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเจออะไรที่มันว๊าวหรอกน่ะ เพราะรอบนี้แค่พาเพื่อนร่วมทางของเรามาเห็นปราสาทเก่าแก่ประจำเมืองก็พอแล้ว
การเดินทาง
ถ้านั่งรถไฟใต้ดิน ให้ลงสถานี Osaka Business Park Station หรือรถไฟ JR ลงสถานี Osakajokoen Station แล้วเดินเข้ามาอีกประมาณ 15 นาที
มาญี่ปุ่น สิ่งที่ชอบที่สุดนอกจากเรื่องถ่ายรูป ปลาดิบและเนื้อแล้ว การหาขนมหวานทานมันคือนิพพานจริงๆ เพราะนม เนยเค้าดีมาก ทำขนมอะไรออกมาก็อร่อย แถมหน้าตาสวยงามน่าทานไปหมดจริงๆ
รอบนี้ไปปราสาทโอซาก้า แปลกตาหน่อยเพราะมีโซนร้านค้าเปิดใหม่ตรงสเตเดี่ยมชื่อ JO-TERRACE OSAKA (โจ-เทอเรซ โอซาก้า) ซึ่งเป็นโซนท่องเที่ยวใหม่ หลังปราสาทโอซาก้า (ถ้าเราลงสถานี JR Osakajo-Koen Station เราจะเดินผ่านที่นี่ก่อนเข้าไปถึงปราสาท) ซึ่งเค้าเพิ่งเปิดตัวให้บริการไปเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้วนี่เอง มีร้านขนม ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารประมาณ 20 ร้านเดินเมื่อยๆแวะพักชิมกันได้
Shinsekai + หอคอย Tsutenkaku
มาที่นี่สองครั้งแต่ก็ยังไม่เคยขึ้นหอคอยซักทีเพราะเราเคยขึ้นไปชมวิวโอซาก้าที่ตึก Umeda Sky และ Abeno Harukas ก็ขึ้นไป Harukas 300 แล้ว 2 ครั้ง มาที่นี่ก็แค่พาเพื่อนร่วมทางเรามาเดินเห็นเปิดหูเปิดตา ซึ่งมาเปิดกันผิดเวลาไปหน่อย เพราะที่นี่เป็นย่านกลางคืนที่เจ๋งสุดๆที่เป็นเสมือนแลนด์มาร์กสำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองโอซาก้าเพราะฉะนั้นมาช่วงเย็นๆค่ำๆไปถึงกลางคืนกันน่ะ
การเดินทาง
ถ้านั่ง JR Loop line ให้ลงสถานี Shin-Imamiya Station แล้วเดินมาประมาณ 5 นาที
ถ้านั่งรถไฟใต้ดิน Midosuji and Tanimachi Subway Lines ให้ลงสถานี Dobutsuen-mae Station
นั่งชิงช้าสวรรค์เทมโปซาน (Tempozan Giant Ferris Wheel )
เดินเล่นอ่าวโอซาก้าไปนั่งชิงช้าสวรรค์ที่เคยใหญ่ที่สุดในโลกกันดีกว่า แถมเป็นย่านที่เราเพิ่งเคยมาครั้งแรกมาโอซาก้าก็หลายครั้ง ยังไม่เคยนั่งเลย เลยต้องนั่งกันหน่อย ซึ่งมาวันนี้ดีที่สุดเพราะเป็นวันที่ฟ้าระเบิดตอนเย็น ทำให้เราได้เห็นแสงสียามเย็นรอบอ่าวโอซาก้าอย่างอลังการมาก และเป็นวันเดียวของทริปที่มีแสงเย็นให้เราได้ชมกัน เพราะนอกนั้นฝนตกเกือบทั้งวัน ทุกวันเลยจ้าาา
เข้าคิวก็ไม่นานมาก นอกจากถ้าเราจะนั่งกระเช้าพื้นกระจกก็รอนานหน่อย แต่เราเคยนั่งเคเบิลคาร์แบบพื้นใสมาแล้วที่ไต้หวันและฮ่องกง เราเลยเฉยๆ ไม่อยากรอนานก็นั่งกระเช้าธรรมดาดีกว่า โดยในแต่ละรอบจะใช้เวลาหมุนประมาณ 15 นาที
ค่าธรรมเนียม 800 เยน
การเดินทาง
เดิน 5 นาที จากสถานี Osakako Sta. บนสาย Subway Chuo Line
ลงกระเช้ามาเฟ้าระเบิดไม่เสร็จจ้า ตอนแรกว่าจะไป พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโอซาก้า (Osaka Aquarium) หรือไคยูคัง (Kaiyukan)
ตึกด้านหน้าที่เห็นนี่ล่ะ แต่เรามาไม่ทัน เลยได้แค่ถ่ายรูปด้านหน้าไว้ก่อน ใครที่ชอบแนวนี้ก็ต้องแวะล่ะน่ะ เพราะเค้าเจ๋งจริง คือใหญ่ติดอันดับโลกเชียวล่ะ
ชมวิวโอซาก้าจากตึก Umeda Sky
วิวโอซาก้าจาก “Kuchu-Teien Observatory” สูงเหนือพื้น 170 เมตร บนตึก Umeda Sky
การเดินทาง
จากสถานี JR Osaka (ทางออก Central North) หรือสถานี Umeda เดินไปอีกประมาณ 10 นาที
เวลาเปิด-ปิด: 10:00-22:30 (เข้าชมได้ถึง 22:00)
ถ้าจะขึ้นไปถ่ายแลนด์สเคป ความเห็นส่วนตัวคิดว่าถ่ายจากตึกนี้สวยกว่าจาก Harukas 300 เพราะอยู่ใกล้ตึกอื่นๆมากกว่า เราจะมองเห็นเมืองได้สวยกว่า ส่วนจาก Harukas 300 สูงกว่า เห็นทุกอย่างเล็กไปหมด แต่ก็สวยกว้างไกลไปอีกแบบ
จุดชมวิว ชมวิว Harukas 300
ขึ้นไปชมวิว Harukas 300 บนชั้น 60 บนตึก Abeno Harukas ซึ่งตึก Abeno Harukas นี้เป็นอาคารที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นน่ะ
เราสามารถซื้อบัตรจากในไทยได้ ผ่าน KKDAY ในราคาเริ่มต้นเฉพาะขึ้น Harukas 300 ที่ 364 บาท และมีบัตรผ่านร่วมกับ universal อีกด้วย เข้าไปดูราคาได้ที่นี่เลย ถูกกว่าและสะดวกดี ==> ซื้อบัตรขึ้นชมวิวโอซาก้าที่ Harukas 300
ค่าขึ้นไป Harukas 300 ที่หน้างานราคาตามนี้ค่ะ
ผู้ใหญ่ 1,500 เยน (เด็ก 12-17 ปี 1,200 เยน / เด็ก 6-11 ปี 700 เยน / เด็ก 4 ขวบขึ้นไป 500 เยน)
การเดินทาง
จากสถานี Namba ลงที่สถานี Osaka-Abenobashi
หรือสถานี Tennoji หลังจากนั้นเดินต่ออีก 5 นาที
Universal Studio Japan
ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์ เจแปน หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า USJ นับเป็นสวนสนุกแห่งแรกในเอเชียของยูนิเวอร์แซล สตูดิโอที่เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างในปี 2001 นักท่องเที่ยวที่ไปโอซาก้าแทบทุกคนล้วนแต่บรรจุโปรแกรมเที่ยว USJ เข้าไว้ในโปรแกรมกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เราจะพลาดได้อย่างไร
ค่าเข้าชมหน้างาน
ราคาของตั๋วแบบ 1 วัน
ผู้ใหญ่ ราคา 7,200 เยน (ราคารวมภาษี)
เด็ก ราคา 4,980 เยน (ราคารวมภาษี)
ตั๋วแบบ 2 วัน
ผู้ใหญ่ ราคา 12,110 เยน (ราคารวมภาษี)
เด็ก ราคา 8,420 เยน (ราคารวมภาษี)
หรือซื้อจากเมืองไทยผ่าน KKDAY ตามลิงค์นี้ ==> จองบัตรเข้า Universal Studio กับ KKDAY
จะได้แพ็คเกจราคาที่คุ้มค่ากว่า
เวลาเปิด-ปิด: เวลาเปิดปิดจะไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับช่วงเวลา
10:00 – 17:00 น. (Low Season)
9:00 – 21:00 น (Peak Season)
เช็คช่วงเวลาได้ที่เว็บไซต์หลัก http://www.usj.co.jp/e/parkguide/calendar.html
การเดินทาง
ขึ้นรถไฟสาย JR Osaka Loop ไปยังสถานี Nishikujo แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย JR Yumesaki และลงที่สถานี Universal City Station แล้วเดินต่ออีก 10 นาที
เกียวโต
เรานอนโรงแรมเดียวตลอดทริป แน่นอนว่าต้องเดินทางไปกลับทุกวัน ซึ่งก็ไม่ได้หนักหนาอะไร เพราะเกียวโต โอซาก้าใช้เวลาเดินทางด้วย JR ประมาณ 40 นาที ถ้าเป็นชินคังเซนก็ 15 นาที นอนแช่อยู่กับที่ไม่ต้องย้ายกระเป๋าให้รุงรังดีกว่า
วัดน้ำใส หรือวัด Kiyomizu-dera
เป็นเป้าหมายแรกของการไปเกียวโต แต่เราไม่ได้ไปในวันแรกที่ไปหรอกน่ะ เพราะเราไปอาราชิยามะ และอินาริก่อน แล้วติดฝนหนักมากจนไม่สามารถไปแต่งชุดกิโมโนเดินเล่นที่วัดน้ำใสได้ เลยกลายเป็นว่าทริปนี้ เรามาเกียวโต 2 ครั้ง 2 วัน อิ่มกันไปเลย
การเดินทาง
รถบัส: เดินประมาณ 10-15 นาที จากป้ายรถบัส Gojo-zaka หรือป้ายรถบัส Kiyomizu-michi รถบัสสาย 100, 206

ไหนๆก็เช่าชุดตั้ง 5000 เยนแล้วก็ต้องใส่โชว์ตัวให้คุ้มหน่อย อิอิ ซึ่งการใส่กิโมโนมาเดินเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ธรรมดามากสำหรับญี่ปุ่นน่ะ คนไทยมาเที่ยวกันก็ลองดู ถือเป็นประสบการณ์ที่สวยงามอีกแบบ
วัดน้ำใสเป็นที่นิยมของคนไทยมาก สำหรับเราไปเกียวโตกี่ครั้งก็ต้องไปที่นี่เสมอ
ตอนนี้ตัวอาคารปิดซ่อมแซมทั้งหลังน่ะ คือปิดกันมานานแล้วตอนนี้ยิ่งคลุมหนักเลย
เคยมาวัดนี้ใสช่วงซากุระและอยู่ถึงเย็นจนได้เห็นตอนที่เค้าไลท์อัพสวยงามมากๆ แต่ก็แลกกับการผจญภัยกับมวลมหาประชาชนเช่นกัน ^^
ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีตอนพีคก็มาจ้าาา เหลือรอหิมะตกที่เกียวโตแล้วจะรีบซื้อตั๋วบินไปล่ะกัน
Arashiyama
ป่าไผ่อาราชิยาม่า (Arashiyama)
เหมือนทุกที่ คือมาที่นี่หลายครั้ง รอบนี้ไม่ใช่ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี และเวลาเที่ยวเหลือน้อยมาก เลยเลือกที่จะมาเดินที่ป่าไผ่แล้วเดินเล่นตามร้านค้าร้านขนมอย่างเดียว ไม่ได้เดินเล่นริมน้ำเก็บภาพเหมือนครั้งก่อนๆ แต่มีกี่ครั้งก็ประทับใจน่ะสำหรับที่นี่
นั่งรถไฟสายโรแมนติกซากาโน่ Sagano Romantic Train
มานั่งครั้งแรกก็มาผิดช่วงซะงั้น อิอิ เพราะช่วงที่เค้าสวยที่สุดเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่ขอลองนั่งซักครั้งจะเป็นไร เพราะรถไฟสายนี้เค้าดังมาก เป็นรถไฟท่องเที่ยวสายคลาสสิกที่วิ่งระหว่างอะราชิยาม่า (Arashiyama) และคาเมโอกะ (Kameoka) ตลอดเส้นทางนั้นรถไฟจะวิ่งเรียบแม่น้ำโฮะซึ (Hozugawa River) ที่มีทิวทัศน์สวยงามตลอดเส้นทาง เราได้เห็นภาพต้นไม้โค่นล้มจำนวนมาก ผลจากพายุไต้ฝุ่นครั้งที่ถล่มคันไซก่อนเรามาไม่กี่วัน
ใช้เวลาเดินทางระหว่างสองสถานีราว 25 นาที ถ้าเราไม่ลงที่สถานีปลายทาง ขากลับเราก็ลงที่สถานี Arashiyama แล้วเดินต่อไปป่าไผ่ได้
[ ทริค …. ]
รถไฟขบวนนี้มี 5 ตู้ ซึ่งตู้ที่ 1-4 ซึ่งเป็นแบบตู้ปิดมองวิวผ่านกระจกแบบปรกติ เราสามารถจองตั๋วที่นั่งได้ตามเค้าเตอร์ JR West ทั่วไป แต่ตู้ที่ 5 ซึ่งเป็นตู้เปิดโล่ง (หลังคากระจกใส) เป็นตู้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดนั้นเราจะต้องมาซื้อตั๋วที่สถานี Saga Torokko Station เท่านั้นจ้าาา
ปล… ใครมานั่งช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ควรจองตั๋วกันก่อนน่ะ อย่ามาซื้อที่สถานี มคนจะเยอะมากกก มันเต็มเน้อ
ค่าโดยสาร : ผู้ใหญ่ 620 เยน / เด็ก 310 เยน (ราคาต่อเที่ยว)
การเดินทาง
นั่งรถไฟสาย Arashiyama Line มาลงยังสถานี Saga-Arashiyama แล้วเดินมาซื้อตั๋วขึ้นรถไฟที่สถานี Saga Torokko Station ต่อเลย แต่เราไม่สามารถใช้ JR pass นั่งสายนี้ได้น่ะ
ขบวนที่ 5 หน้าตาเป็นแบบนี้จ้า
ศาลเจ้าเทพเจ้าจิ้งจอกอินาริ (Fushimi Inari Shrine)
วันนี้เรามาเกียวโตครั้งแรกในทริปนี้ แต่คือลงรถไฟปุ๊บ ฝนตกโครมๆๆเลยจนต้องหาซื้อร่มกันตรงนั้น เกือบไม่ได้ไปไหนกันเล้วเชียว ฝนตกหนักเฉอะแฉะตลอด เลยยกเลิกแปลนที่จะไปแต่งกิโมโนที่วัดน้ำใส เดินคอตกกลับโอซาก้าไปแบบซึมๆ อิอิ ตอนพายุที่นี่ได้รับความเสียหายมากจนต้องปิดไป แต่วันนี้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมแล้ว เที่ยวต่อได้จ้าา
การเดินทาง
นั่ง JR Nara Line มาลงสถานร JR Inari หรือจะเดินจากสถานีรถไฟ Fushimi Inari ของสาย Keihan Main Line ก็ได้เหมือนกัน
วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji)
วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji) ที่คนไทยทั่วไปรู้กันในชื่อว่าวัดทอง ที่มาของชื่อวัดทองก็เพราะตัวอาคารหลักของวัดนี้มีสีทองเหลืองอร่ามตั้งโดเด่นอยู่ริมน้ำ แสงสะท้อนลงน้ำสีทองยิ่งทำให้วัดทองแห่งนี้สวยงามและถือเป็นสัญลักษณ์แห่งหนึ่งของเกียวโตกันเลย
การเดินทาง
รถบัส: นั่งรถบัสสาย 12, 59 ลงป้าย Kinkakuji-mae bus stop แล้วเดิน 3 นาที
หรือนั่งรถบัส 101, 205 จากสถานีเกียวโต ลงป้าย Kinkakuji-michi แล้วเดินต่ออีก 5-10 นาที
อันนี้ต้องบอกว่าเชยมาก เพราะมาเกียวโตหลายครั้ง เพิ่งมาวัดนี้ครั้งแรก 5555 เป็นวัดที่อยู่ไกลโซนวัดน้ำใสและวัดอื่นๆอยู่มาก ด้วยเวลาจำกัดและอะไรหลายๆอย่างทำให้เราไม่ได้มาวัดนี้ ทั้งๆที่เป็นวัดที่สำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของเกียวโต
แนะนำให้มาเกียวโตเช้าหน่อย แล้วมาที่นี่ก่อนเลยน่ะ แล้วค่อยไปละเลียดเที่ยววัดอื่นๆ

โกเบ
ไปโกเบเพื่อเนื้อร้านนี้ สายเนื้อต้องห้ามพลาด สเต็คโกเบที่ร้าน Steakland ตรงสถานี Sannomiya เพราะอร่อยและราคาไม่แพงมาก จับต้องกันได้ทุกคนล่ะ
ร้านที่เราไปทานทุกครั้งก็เป็นสาขา 2 ที่เดินเข้าไปในซอยนิดนึงแล้วขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 6 แนะนำให้ไปทานช่วงเที่ยงเวลา 11:00 ถึง 14:00 ไปถึงก่อน 11 โมงยิ่งดี ไม่มีคิว ราคาช่วงเที่ยงจะถูกกว่ามาก ซึ่งราคาสเต็คตามนี้เลย
small roast steak lunch 100 กรัม 1080 เยน (อันนี้ไม่แนะนำ มันธรรมดาไป)
Large roast steak lunch 150 กรัม 1480 เยน
small tender steak lunch 100 กรัม 1980 เยน
large tender steak lunch 150 กรัม 2580 เยน
Kobe beef steak lunch 150 กรัม 3180 เยน
เคยทานทั้ง tender และ kobe มาแล้ว รสชาติต่างกันแค่ความนุ่มเล็กน้อยเท่านั้นน่ะ ส่วนตัวให้คะแนนความคุ้มค่าไปที่ tender มากกว่า เพราะมันอร่อยมากแล้วล่ะ แต่ถ้ามาครั้งแรกก็ลองสั่งทั้งโกเบและเทนเดอร์มาลองดู กลับมาคราาวหน้าคิดว่าค่าจะสั่งเทนเดอร์ทานกันก็พอ ประหยัดไปอี๊ก อิอิ ^^
Nara
มาโอซาก้า มีเวลามากน้อยแค่ไหนก็ต้องพ่วงเกียวโต หรือนาราเข้าไปด้วย เพราะมันไม่ไกลกัน ถ้าไม่ใช่แนวช่างภาพที่ต้องใช้เวลาเค้นหามุมถ่ายเน้นๆ ก็เก็บเกียวโตและนาราได้ในวันเดียวน่ะ
นารา เมืองมรดกโลก
อดีตเคยเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงและเป็นศูนย์กลางทางการเมืองของญี่ปุ่น มานารา เอาจริงๆเป้าหมายหลักก็น่าจะเป็นวัดโฮริวจิ(Horyuji Temple) และวัดโทไดจิ (Todai-ji) ซึ่งเป็นวัดพุทธที่สร้างขึ้นราวปลายศตวรรษที่ 8 ดยตัวอาคารไดบุตสึเด็น (Daibutsuden) ของวัดนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารไม้ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในโลก
วัดไดโทจิเป็นที่ประดิษฐานอยู่ที่ไดบุทสึเดง มีความสูง 15 เมตร เพราะเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก จึงเป็นที่คุ้นเคยในนาม “ไดบุทสึแห่งนารา”
ปล…เราไม่ได้ไปวัดฮิวโรจิน่ะ ไปนารากี่ครั้งก็ไม่ได้ไป ไม่รู้อะไรมันบังตา แหะๆ แต่คราวหน้าต้องไม่พลาดแน่นอน
การเดินทาง
มาเมืองนี้ต้องเดินเน้นๆจ้า
เดิน 30 นาที จาก Kintetsu Nara Station
เดิน 45 นาที จาก JR Nara Station
เดิน 5-10 นาที จาก Todaiji Daibutsuden Bus Stop
สวนสาธารณะนารา (Nara Park) เป็นสวนที่อยู่ของกวางจำนวนมากโดยเมืองนารานั้นมีกวางอาศัยอยู่นับพันตัว และออกมาพบปะนักท่องเที่ยวอย่างคุ้นเคย
การเตรียมตัวจองทริป
เริ่มต้นทริปแน่นอนว่าเราต้องจองตั๋วเครื่องบินกันก่อน เราใช้ EXPEDIA APPLICATION มีโหลดไว้ทั้งในไอแพดและมือถือแอนดรอยด์นี่ล่ะ
โหลดมาติดเครื่องได้เลย>> http://bit.ly/2O0ASX2
จองเฉพาะตั๋วเครื่องบินกันก่อน เค้าก็จะแสดงราคาชองทุกสายการบินมาให้เราเรื่อง แน่นอนว่าเราเลือกที่ถูกที่สุดในช่วงเวลาที่เราว่าง อิอิ
ย้ำ !! ว่าให้จองตั๋วเครื่องบินแล้วกลับมาจองโรงแรม จะเห็นแถบสีเหลืองที่เขียนว่า Add On แปลว่าเราได้ปลดล็อคส่วนลดของโรงแรมเพิ่มเติมจากราคาใน app โดยเราจะได้รับส่วนลดโรงแรมสูงสุดถึง 51% กันเลยน่ะ ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วล่ะว่าโรงแรมที่เราเลือกจะลดเพิ่มได้ขนาดไหน ลองไปสุ่มหาดูกันน๊าา
ดูรายละเอียด Expedia Add-On >> http://bit.ly/2SdsAOD
โปรโมชั่นดีดี ดูดีลตั๋วเครื่องบิน + โรงแรม >> http://bit.ly/2PPKcyt
ระบบจะแสดงแถบสีเหลืองที่เขียนว่า Add On แบบนี้ แปลว่าเรามีโอกาสจะได้รับส่วนลดโรงแรมสูงสุดถึง 51% กันเลยน่ะ
หลังจากได้สิทธิ์ใช้ส่วนลดพิเศษเพิ่มเติม “Add on” แล้ว ระบบก็จะแจ้งว่าเราจะได้รับการปลดล็อคส่วนลดของโรงแรมเพิ่มเติมจากราคาใน app โดยเราจะได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 51% กันเลยน่ะ ซึ่งตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับเราแล้วล่ะว่าโรงแรมที่เราเลือกจะลดเพิ่มได้ขนาดไหน ลองไปสุ่มหาดูกันน๊าา
ดูรายละเอียด Expedia Add-On >> http://bit.ly/2SdsAOD
โปรโมชั่นดีดี ดูดีลตั๋วเครื่องบิน + โรงแรม >> http://bit.ly/2PPKcyt
ปล…. ทริปนี้โดนเลื่อนเที่ยวบินเนื่องจากสนามบินโอซาก้าปิด เรารู้ตัวล่วงหน้าวีนต่อวันเลยน่ะ โชคดีติดต่อกับทาง EXPEDIA แจ้งเรื่องเลื่อนไฟลท์เพราะพายุ ขอยกเลิกห้องซึ่งเป็นห้องที่เราจองแบบ NON-REFUND ด้วยน่ะ แต่เค้าก็ประสานงานกับโรงแรมที่ญี่ปุ่นยกเลิกให้เราได้ทันใจมาก ตรงนี้ขอชื่นชมนะคะ ^^
ซึ่งเราเลือกจองที่นี่ โรงแรม SMILE HOTEL PREMIUM OSAKA HIGASHI-SHINSAIBASHI ซึ่งเป็นโรงแรมใหม่ และแน่นอนว่าไม่ใช่โรงแรมที่ถูกที่สุด แต่ราคา สองพันกว่าบาทสำหรับ 2 คนในย่านที่เราเดินไปโดทงโบริในเวลา 5-10 นาทีนั้น มันคือดีมากๆๆ
>>> เช็คราคาโรงแรมตามนี้จ้า http://bit.ly/2yDLNBd
นอกจากทำเลเทพแล้ว ห้องพักคือดีมาก ห้องไม่เล็กจนเกินไป คือใหญ่กว่า 15 ตรม.แน่ๆ ห้องน้ำคือดีมาก อ่างน้ำใหญ่นอนแช่ได้ ไม่ใช่อ่างนั่งเหมือนโรงแรมธุรกิจทั่วไป ที่สำคัญคือสะอาดกริบจ้าา จุดนี้แนะนำสุดตัวเลย ยิ่งจองผ่าน EXPEDIA ยิ่งได้ส่วนลดเพิ่มขึ้นด้วยฟีเจอร์ EXPEDIA ADD-ON น่ะ
จากกรุงเทพไปโอซาก้า เราบินคุ้มคุณภาพครบกับสายก ารบินแอร์โลว์คอสอันดับหนึ่ งอย่าง Thai AirAsia X
ซึ่งทริปนี้จองตั๋วเครื่องบินแอร์เอเซียผ่าน Expedia เนื่องจากราคาดีและเวลาเหมา