Jan-2016
Maria in Japan เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองไม่ยากเลย ตอน ไฮไลท์แบกเป้ลุยเดี่ยวเที่ยวญี่ปุ่น 11 เมือง 15 วัน 3 ภูมิภาค
ทริปสานฝันใบไม้เปลี่ยนสีตอนที่ 2
ขอตัดฉับมาตอนที่มาถึงญี่ปุ่นเลยล่ะกัน
ดูปฐมบท – การเดินทาง และรีวิวที่พักได้ที่นี่จ้า
http://www.mariajourneys.com/maria-diary-hotels-in-kyushu-kansai/
ทริปนี้มีรายละเอียดมากมายและยาวเหยียด เป็นทริปที่เป็น “ครั้งแรก” หลายอย่าง แต่ครั้งแรกที่น่าจดจำที่สุดคือ เป็นทริปใบไม้แดงครั้งแรกในชีวิตกันเลย แม้สภาพอากาศจะไม่เป็นใจแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความประทับใจและความน่าจดจำกับการเดินทางครั้งนี้ลดน้อยลงเลย ตรงกันข้าม มันเป็นการเดินทางแบกเป้เที่ยวคนเดียวที่สนุกและมีความทรงจำดีๆให้เก็บเกี่ยวได้ทุกวัน
แต่รีวิวนี้จะขอเน้นไฮไลท์ของเมืองที่ได้ไปมานะคะ เอาพอเป็นแนวทางในการวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นครั้งหน้าล่ะกันเพราะถ้าอัดทุกอย่างลงไปในรีวิวเดียวคงจะไม่จบแน่ๆ ส่วนรายละเอียดต่างๆจะไปอยู่ในหนังสือแทน 🙂 และทริปนี้ไม่ใช่ทริปเที่ยวญี่ปุ่นที่ถูกที่สุดนะคะ เพราะกินอยู่ค่อนข้างดี เฉพาะ JR pass 14 วันก็หมื่นสามพันกว่าบาท โรงแรมตลอดทริปสองหมื่นกว่า เป็นคนแบกเป้กล้องหนักมากทุกวันกลับมาถึงโรงแรมของนอนสบายหน่อย แต่ค่าโรงแรมเฉลี่ยพันกว่าบาทต่อคืน ถือว่าดีมากเพราะโรงแรมอยู่ใกล้สถานีแทบทุกแห่ง เอาเป็นว่างบประมาณกินอยู่ขึ้นอยู่ที่เรากำหนดค่ะ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปก็ไม่หนีกันมาก จะนั่งลีมูซีนไปหรือจะโบกรถไป มันก็รอเราอยู่ตรงนั้น สรุป จะถูกจะแพงเราดีไซน์ทริปของเราเองได้ค่ะ ^^
15 วัน 11 เมือง 3 ภูมิภาค คนเดียวก็ชิลล์ได้
ฮิโรชิม่า – ฟูกุโอกะ –นางาซากิ – คุมาโมโต้ – คาโกชิม่า – มิยาซากิ – เบปปุ – ยูฟูอิน – โอซาก้า – เกียวโต – นารา
M i y a j i m a – H i r o s h i m a
ไปญี่ปุ่น ทุกคนอาจจะชินตากับเสาโทริอิ ตามศาลเจ้าทั้งดังทั้งไม่ดังมากมาย แต่จะมีเสาโทริอิแห่งใดจะมีความพิเศษไปกว่า เสาโอโทริอิหรือโทริอิกลางน้ำของศาลเจ้าลอยน้ำอิซิคุชิมะ (Itsukushima Jinja) แห่งเกาะมิยาจิมะ (Miyajima) ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ในการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นกันเลย
ก่อนไป จินตนาการ (หรือมโน) ไปว่าจะได้เห็นเกาะมิยาจิมะ ท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนนสีที่สวยงามดั่งภาพฝัน ท้องฟ้าใสฟ้าเข้ม มีก้อนเมฆขนแกะปุยๆลอยอยู่เป็นหย่อมๆ ฉากหน้าคือใบไม้แดง ฉากหลังคือใบไม้เหลือง ….. โอ้ว มันช่างสวยงามจริงๆ ^^ ชีวิตจริงตอนไปถึงก็คล้ายๆที่มโมไว้น่ะ ฮ่าๆๆ เพราะถือเป็นวันที่ฟ้าใส แดดดี เบิกฤกษ์เอาชัยสำหรับทริปนี้กันได้ดีทีเดียว และถือเป็นหนึ่งในไม่กี่วันที่เจออากาศแบบนี้ที่คิวชู นอกนั้นฝนตก ฟ้าขาว ต้นไม้เขียวชะอุ่มสดชื่นมาก แล้วใบไม้แดงใบไม้เหลืองที่ตามหา มันอยู่ไหนกันค้าาา …. แง ไม่เป็นไร เป็นนักเดินทางต้องอดทน รอลุ้นป้ายหน้าก็ได้ค่ะ ^^
การเดินทาง เรานั่งรถไฟมาลงที่สถานีมิยาจิมะกุจิ (Miyajimaguchi) แล้วต่อเรือเฟอรี่ JR มาลงที่เกาะมิยาจิมะ (ถ้าใช้ JR Pass สามารถใช้ JR pass ขึ้นได้ฟรี) เมื่อถึงเกาะแล้วเดินตามทางไปก็จะถึงศาลเจ้าอิซึคุชิมะ ค่าเข้าชมศาลเจ้า 300 เยน แต่ไม่ได้เข้าน่ะ เวลามีน้อย ต้องใช้สอยอย่างประหยัด อาศัยเดินเล่นชมวิว ชิมโน้นชิมนี่ ถ่ายรูปชิลล์ๆเพลินๆไป
นั่ง (วิ่งพล่านถ่ายรูปบนเรือ) เฟอรี่ฟรีเก๋ๆ เข้าใกล้มิยาจิมะเข้าไปทุกที ลุ้นตึกๆระทึกระทวยว่าจะได้เห็นเกาะทั้งเกาะเปลี่ยนสีเป็นสีลูกกวาดหรือเปล่า
แต่ช้าก่อนชีวิตจริงคือชั้นมาเร็วไปสองอาทิตย์ใช่มั้ย?
คือมิยาจิมะ เขียวมากกกกกกก ฮ่าๆๆ แม้จะดีใจที่ได้มาถึงที่นี่แล้ว แต่ในใจลึกๆก็แอบผิดหวังนิดๆเพราะทริปนี้ตั้งใจว่าจะตามหาใบไม้แดงที่ฉันฝันถึงตั้งแต่เด็กให้ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ มีหลายสิ่งหลายอย่าง หลายปัจจัยมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของธรรมชาติ มันยิ่งคาดเดากันลำบาก ดอกไม้จะบานจะร่วงวันไหน ใบไม้แดงจะเปลี่ยนสีวันไหน ตั๋วก็ต้องซื้อ โรงแรมก็ต้องจอง ?
เรื่องของธรรมชาติ มันต้องรอเวลา เพราะฉะนั้นถ้าใครถามเรื่องดอกไม้บานเมื่อไหร่นี่มีเคืองน่ะ อิอิ
เอาเป็นว่า เท่าไหร่ก็เท่านั้นค่ะ อย่าไปซีเรียสกับมันมากเดี๋ยวจะเที่ยวไม่สนุก อยากจะแปลนทริปอะไรก็แปลนไปเลย ศึกษาหาข้อมูลเก่าๆไว้พอเป็นแนวทางพอ หาตั๋วถูกและที่พักไว้ก่อนสำคัญที่สุด ส่วนเรื่องอื่นถือเป็นโบนัสไป ถ้าเราได้ไปเห็นในสิ่งที่เราตั้งใจ มันก็ดี แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร หาโอกาสกลับมาใหม่ ดีจะตาย จะได้เที่ยวบ่อยๆ ^^
ความหวังที่จะเห็นใบไม้แดงฟูเต็มเกาะริบหรี่เหลือเกิน เอ้า ขยับเข้ามาใกล้อีกหน่อย เผื่อจะแดงขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่น่ะ ฮ่าๆๆ
ไม่แดงไม่เป็นไร เดินหาต้นกิงโกะถ่ายรูปแทนก็ได้ แต่ก่อนอื่นขอกรี๊ดดด เสาโทริอิกันก่อน แลนด์มาร์คของญี่ปุ่นกันเลยน่ะเนี่ยยย มาถึงแล้วแต่ยังกลับไม่ได้ ขอไปต่อน่ะ อิอิ
มุมสวยๆในชั้นล่างของเจดีย์ห้าชั้น
ตอนไปใบไม้ยังไม่แดง แต่เหลืองก็สวย
PR ของเกาะ ทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่องเลย มองไปทางไหนก็เห็นเสนอหน้าทั่วไปหมด น่ารักจริงๆ
ได้เห็นเสาโทริอิแล้ว ได้เห็นเจดีย์ห้าชั้นแล้ว ได้เดินเล่นชมวิว ชิมหอยนางรมแล้ว แต่โมเม้นท์ที่ชอบและชิลล์ที่สุดเห็นจะเป็นตอนนั่งจิบกาแฟ ทานเค้กกับบรรยากาศสุดชิลล์ที่ร้านกาแฟบนเกาะที่ร้าน Kakiwai ที่อยู่หลังเจดีย์ห้าชั้นนี่เอง ใช้เวลานั่งเล่นที่นี่เพลินเกิน จนไปสะพานคินไตเคียว (Kintai Bridge) ไม่ทันแสง อิอิ เพราะคำนวณแล้วว่ากว่าจะออกจากเกาะแล้วต่อรถไฟไป Iwakuni กว่าจะอะไรต่ออะไรแสงก็หมด และหมดจริงๆ สรุปจนหมดทริปแล้วก็ยังไม่ได้ไปสะพานคินไตเคียวน่ะ และมันคืออีกหนึ่งมิชชั่นที่ต้องจัดให้ได้ ใบไม้แดงปีนี้เลยล่ะกัน ^^
วิวเทพมาก นั่งจิบชา ทานขนมเค้กกับวิวนี้มันฟินจริงๆ ยอมเสียเวลาเดิน (วิ่ง)ถ่ายรูปมานั่งชิลล์ที่นี่แทนเลยล่ะกัน
เราใช้เวลาบนเกาะมิยาจิมะพอสมควร เพราะต้องรีบไปฟูกุโอกะต่อ แต่จะบอกว่าที่นี่ไม่ควรมาเที่ยวแบบรีบๆเร่งๆวิ่งเต้นระบำรอบเกาะแค่นั้นนะคะ เพราะว่าเกาะนี้มีความงดงามและประวัติศาสตร์มากมายที่น่าชื่นชม เพราะมันเป็นเกาะชื่อดังที่สุดของญี่ปุ่นน่ะจ๊ะ ค่อยๆเดินเล่มชม ชิม ช๊อป ซึมซับบรรยากาศความสวยงามของธรรมชาติรอบเกาะและหาเวลาแวะจิบชาตามวิถีเซนกันไปช้าๆ
แต่ไม่ว่าคุณจะมีกิจกรรมอะไรทำบนเกาะแห่งนี้ สิ่งหนึ่งที่ไม่อยากให้พลาดก็คือหาหอยนางรมสดชิมกันเถอะ ตัวล่ะ 400-600 เยน ย่างไฟแบบใส่แค่มะนาวฝาน หรือใส่ซีอิ้วญี่ปุ่นก็ได้ตามใจชอบ มันสดอร่อยหวานหอมมาก ดูรูปแล้วกลิ่นยังโชยมาแตะจมูกเลยน่ะเนี่ย (อันนี้แนวหลอนแล้ว ฮ่าๆๆ) หรือใครที่ไม่ชอบทานสดก็ลองชิมแบบย่างกับข้าวญี่ปุ่นดู อารมณ์คล้ายๆกับข้าวจีหรือข้าวเหนียวชุบไข่ปิ้งแล้วโปะหน้าหอยนางรม มันดีงามและอร่อยมากกกกค่ะ
F u k u o k a
นั่งชินคังเซ็นจากฮิโรชิม่ามาถึงฟูกุโอกะก็ค่ำแล้ว โชคดีที่โรงแรมอยู่ใกล้สถานี Hakata เลยใช้เวลาไม่มากที่จะเอาของไปเก็บแล้วออกมาเดินเล่นและหาอะไรทานที่สถานีก็เป็นอันหมดวัน
เริ่มต้นวันที่ 2 ด้วยฝนตกนอกหน้าต่าง ตื่นมาเปิดหน้าต่างห้องดูแล้วกรี๊ดด (แล้วนอนต่อ) เพราะฝนตกหนักมาก ออกไปไหนไม่ได้เลย ฟูกุโอกะของฉัน ครึ่งวันแรกอยู่แค่ในห้องพักล่ะกัน แง
พอฝนเร่ิมซาเม็ดก็คิดว่าจะยังไงก็ต้องออกไปเห็นอะไรซักหน่อย ต้องเลือกจากหลายจุดหมายที่คิดไว้ให้เหลือที่เดียว เพราะเวลามีแค่นั้น หวยมาออกที่ศาลเจ้า Dazaifu เพราะดูข้อมูลก่อนมาว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของคิวชูกันเลย (แน่นอนว่าถ้ามันเปลี่ยนสีน่ะ 5555) ตัดสินใจฝ่าสายฝนปรอยพาตัวเองให้มาถึงสถานี Tenjin กันก่อน คนที่มี JR พาสใหญ่ก็ต้องซื้อตั๋วใหม่น่ะ เพราะนั่งรถสายโลคอลค่ะ ไม่รู้คนอื่นเดินทางยังไง แต่เรานั่ง Subway สาย Kuko line (200 เยน) ไปเปลี่ยนรถไฟสาย Nishitetsu-Tenjin-Omuta Line ที่สถานี Tenjin ค่ารถจุดอีกนี้ 400 นั่งไปอีก 2 สถานีก็เปลี่ยนอีกที่สถานี Fuisukaishi เพื่อนั่งสาย Dazaifu ไปศาลเจ้า ไปถึงฝนฉ่ำเลย เดินเล่นท่ามกลางสายฝนกันเลย อิอิ
สายนี้ไม่มีประกาศเป็นภาษาอังกฤษนะคะ ห้ามนั่งไปเล่นมือถือไปน่ะ เลยป้ายแน่ๆ มาเปิด google map นั่งนับสถานีกันดีกว่า แต่ไงก็ไม่ยากจนเกินไปค่ะ เดินตามคนเข้าไว้ คนส่วนมากนั่งสายนี้ก็จะไปศาลเจ้ากับเรานั่นล่ะค่ะ ^^
ศาลเจ้า Dazaifuเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดแห่งหนึ่ง ที่นี่มีชื่อเสียงมากๆในหมู่เด็กนักเรียนที่กำลังจะเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนที่ไปจะเห็นกลุ่มนักเรียนมาทัศนศึกษาและขอพรกันเป็นจำนวนมาก มากกว่านักท่องเที่ยวปรกติด้วยซ้ำ
ใบไม้เปลี่ยนสีท่ามกลางสายฝน เศร้า เหงา แบบมีความหวัง
เพราะใบไม้เปลี่ยนสีคือตัวแทนของความเหงา ความร่วงโรยและการจากลา กับสายฝนซึ่งเป็นตัวแทนของความสดชื่น การเริ่มต้นชีวิตใหม่ มันมาอยู่ด้วยกันตรงหน้า กลับรู้สึกดีจัง
หอมกลิ่นดิน หอมกลิ่นฝน สดชื่นมากๆ
ใบไม้ยังไม่แดงเลย มีเปลี่ยนสีให้เห็นบ้างนิดหน่อย แต่นาทีนี้ไม่เอาแล้วใบไม้แดง ใบไม้เหลือง ได้แค่นี้ก็ดีใจแล้วที่ฟ้าฝนยังปรานีให้ออกมาเที่ยวได้ ไม่งั้นวันแรกและวันเดียวของฟูกุโอกะของฉัน ต้องอยู่แต่ในห้างกับในห้องเป็นแน่
หนุ่มน้อยแต่งตัวเต็มยศมาวัดกันเลย
Autumn in the rain – ฝนตกแบบจริงจังมาก
ถ้าไม่ต้องถ่ายรูป (ห่วงกล้องเปียก อิอิ) มันคือฟินมากกกกก ^^
ท่ า ม ก ล า ง ส า ย ฝ น ก็ มี เ รื่ อง ร า ว
มาเที่ยวแล้วเจอฝนแบบนี้ต้องทำใจ อย่ามัวไปคิดว่าจะไม่ได้รูปในแบบที่ต้องการ มองในแง่ดี มันชิลล์น่ะ ไม่รู้เพราะมาคนเดียวหรือเปล่า เราจะหยุดอยู่ตรงไหนก็หยุด จะอยู่ตรงไหนนานหน่อยก็เรื่องของเรา ไม่อยากไปไหน จะเปลี่ยนใจกระทันหันก็ไม่เป็นไร แม้จะขาดคนช่วยคิดและเพื่อนร่วมทาง แต่เราได้เป็นตัวของเราเต็มที่ ได้ท่องเที่ยวในสไตล์ของตัวเองอย่างเป็นอิสระดี ^^
Starbucks ที่ Dazaifu แห่งนี้สวยงามโดดเด่นแปลกตา สะดุดตากันตั้งแต่แรกเห็น น่าจะเป็น Starbucks ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นล่ะมัง พอเห็นสถาปัตยกรรมสวยงามแบบนี้ก็สงสัยใคร่รู้ว่าจริงๆแล้วใครกันน่ะที่เป็นคนออกแบบ ถึงได้รู้ว่า Stabucks ที่นี่เป็นผลงานการออกแบบของ Kengo Kuma ซึ่งเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงในการดีไซน์สวยล้ำไม่เหมือนใคร ปรกติสั่งทานกาแฟเจ้านี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นร้านสวยขนาดนี้ ฝนก็ตกขนาดนี้ ไม่แวะไม่ได้แล้ว
กลับมาจาก Dazaifu ก็ไม่มีเวลาเหลือจะทำอะไรอีก ทำได้แค่เดินเล่นชมบรรยากาศโดยรอบของสถานี Hakata ซึ่งตอนนั้นสวยงามไปด้วยการจัดแสดง light illumination พอดี เดินเล่นชมไฟกันสวยๆตามประสาบ้านนอกเข้ากรุงกันพอสมควรก็หมดไปสำหรับวันที่ 2 ที่ญี่ปุ่นของทริปแบกเป้เที่ยว 15 วันนี้
ฟูกุโอกะฉ่ำฝนจริงๆ ตอนนี้ไม่ต้องมองหาใบไม้แดงกันแล้ว เอาแค่ว่าขอให้ฝนไม่ตกจะได้ออกไปเที่ยวบ้างก็พอเพราะวันนี้หายไปครึ่งวันเพราะฝนตกหนักจนแบกกล้องออกไปเที่ยวไม่ไหว
ชมแสงไฟกันเพลินๆ
มุมนั้นมุมนี้สวยทุกมุมค่ะ
มาเที่ยวญี่ปุ่น แนะนำให้หาที่พักใกล้สถานี JR เข้าไว้ ดีงามที่สุดค่ะ เพราะนอกจากจะเดินทางสะดวกแล้ว ยังเป็นที่ช๊อปที่กินของเราได้อย่างสะดวกสบายเลยล่ะค่ะ
N a g a s a k i
ฟูกุโอกะฝนตกตั้งแต่เช้ามืด ไม่ต้องไปไหนกันเลยค่ะ กว่าจะออกมานางาซากิก็เกือบ 11 โมง นั่ง JR มาถึงสถานี Nagasaki ก็เกือบบ่ายโมง เตร็ดเตร่รอเข้าห้องตอนบ่าย 3 ถึงจะออกไปดูอะไรในเมืองเค้าซักหน่อย ซึ่งตั้งจะใจไป Nagasaki Atomic Bomb museum แต่นั่งเลยป้าย เดินงมไปงมมาจนมาเจอ Nagasaki Peace Park โดยบังเอิญจากการหลง แต่เป็นการหลงที่คุ้มค่าจริงๆบางครั้งการหลงทางในเมืองที่เราไม่รู้จัก มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดนะคะ ^^
แต่สุดท้ายก็มาจบวันที่ Nagasaki Atomic Bomb museum ที่อยู่ใกล้ๆกันจนได้ ซึ่งภายในจัดแสดงเรื่องราวของการถูกระเบิดของเมืองด้วยลูกระเบิดปรมาณูลูกที่ 2 จนเป็นเหตุให้ญี่ปุ่นต้องประกาศแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เอาจริงๆน่ะ ตั้งใจไว้ก่อนมาว่าจะไม่มาที่นี่รวมทั้งที่ฮิโรชิม่าด้วย เพราะรู้ว่ามันเศร้า หดหู่และต้องเสียน้ำตาแน่นอน และก็เป็นไปตามนั้น เดินชมภาพถ่าย นิทรรศการแล้วรู้สึกบีบคั้น เศร้าใจและหดหู่อย่างที่สุด T__T
การเดินทาง (แบบไม่หลง) ให้นั่งรถรางสาย 1 หรือ 3 ลงที่สถานี Hamaguchi-machi ค่ะ
หลังจากที่นอนๆนั่งๆรอฝนชิลล์เว่อร์ที่ฟูกุโอกะรวมทั้งวันแรกของนางาซากิ วันนี้พอมีแดดบ้าง คุณป้าเลยจัดหนักเลยค่าาา เป็นวันที่วิ่งไปเที่ยวทั้งหมด 6 ที่ในวันเดียว คิดแล้วอยากจะเป็นลมอีกรอบ ฮ่าๆๆ
เริ่มวันฟ้าใสกันที่ สะพานแว่นตาเมงาเนะบาชิ (Meganebashi)
เป็นสะพานหินเก่าแก่ทอดข้ามแม่น้ำนากาชิมะ (Nakashimagawa) สะพานนี้สร้างโดยพระภิกษุจากวัดโคฟุกุจิ ในปี พ.ศ.2177 เพื่อเป็นหนทางไปสู่ตัววัด สะพานแห่งนี้เดิมเป็นสะพานหินโค้งที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น แต่เมื่อครั้งเกิดอุทกภัยใหญ่ พ.ศ.2505 ตัวสะพานได้พังทลายลง สะพานที่เห็นปัจจุบันเป็นสะพานที่สร้างขึ้นมาโดยการเลียนแบบสะพานเดิม
การเดินทาง นั่งรถรางสาย 4 หรือ สาย 5 มาลงสถานีรถรางนิกิไวบาชิ (Nigiwaibashi tram stop) แล้วเดินอีกนิดก็ถึงค่ะ
นางาซากิไชน่าทาวน์ (Nagasaki Chinatown) อยู่ไม่ไกลจาก Dejima island ถ้ามารถรางก็ให้ลงที่สถานี Tsuki-machi ไชน่าทาวน์ที่นางาซากินี้เป็น 1 ใน 3 ของไชน่าทาวน์ในญี่ปุ่นเชียวนะคะ (อีก 2 ที่อยู่ที่เมืองโยโกฮาม่าและโกเบ) แถมเป็นไชน่าทาวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นแวะกันซักนิดเถอะค่ะ
การเดินทาง อยู่ที่สถานีรถรางสุคิมาชิ (Tsukimachi Tram) รถรางสาย 1 หรือ 5 ค่ะ
สวนโกลฟเวอร์ (glover garden) ที่อยู่บนเขามินามิ ยามาเตะ ที่มีบ้านรูปทรงตะวันตกที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นตั้งอยู่ บนนี้เราสามารถชมทิวทัศน์ของเมืองนางาซากิจากมุมสูงได้อย่างสวยงามมากเลยน่ะ ใครที่มาเที่ยวนางาซากิต้องห้ามพลาดกันเลยค่ะ
การเดินทาง จากสถานีรถราง Ouratenshudo-shita สาย 5 เดินประมาณ 5 นาทีก็ถึง สวนโกลฟเวอร์ มีบันไดเลื่อนต่อลิฟท์ไปยอดเขานะคะ ไม่ต้องเดินมาก ดีใจจัง ^^
Dejima Island เป็นย่านการค้าเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเอโดะ เป็นเขตอนุรักษ์ ทำให้ยังมีอาคารแบบเก่าหลงเหลืออยู่มากมาย ทั้งโกดังเก็บของ บ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรม โรงเรียน กำแพง ร้านค้า ประตู เข้าไปเดินเล่นแล้วเหมือนเดินเข้าไปในเมืองท่ายุคเอโดะจริงๆ
การเดินทาง นั่งรถรางสาย 1 มาลงที่สถานีรถรางเดจิมะ (Dejima tram)
Mt.Inasa Ropeway คือจุดชมวิวสูงสุดของภูเขาอินาสะ เราจะสามารถเห็นวิวที่สวยงามของเมืองนางาาซากิและยิ่งวิวตอนกลางคืนจะติด 1 ใน 3 จุดชมวิวกลางคืนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นด้วยน่ะ อีก 2 แห่งคือภูเขาฮาโกดาเตะ ฮอกไกโด (ไปมาแล้ว เย้) และ ภูเขาร็อคโกะที่โกเบค่ะ
ณ ที่แห่งนี้มีเรื่องเล่า แต่จะค่อยไปเล่าในหนังสือดีกว่า อิอิ
ต่อด้วยจุดหมายในฝันอีกแห่งคือ Huis Ten Bosch ซึ่งเป็นธีมพาร์คขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลใกล้เมืองซาเซะโบะ (Sasebo) แต่ยังอยู่ในจังหวัดนางาซากิ สามารถเดินทางมาได้ง่ายทั้งจากฟุกุโอกะและนางาซากิ ที่นี้ได้ถูกจำลองให้เป็นประเทศเนเธอแลนด์ แวดล้อมไปด้วยสิ่งก่อสร้าง ลำคลองและสวนดอกไม้ที่สวยงามมากๆ ที่ไฮไลท์ที่ตั้งใจไปชมคือการแสดงแสงสี Light illumination ที่จัดได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกกันเลย
ขอย้ำว่าทั้งหมดนี้จัดได้ใน 1 วัน ฮ่าๆๆ คือตั้งแต่เช้า 7 โมง ทั้งเดิน ทั้งวิ่ง ทั้งแบก ทั้งนั่งรถราง ต่อรถบัส ต่อรถไฟ ทั้งโบกรถ ทั้งเดินขึ้นเขา เดินไปเดินมาจนกลับมาถึงโรงแรมห้าทุ่ม ช่างเป็นวันหรรษาหฤโหดที่ครบทุกรสจริงๆ
บรรยากาศสวยงามภายใน Huis Ten Bosch
สิ่งนี้ที่รอคอย Light illumination ที่ยิ่งใหญ่ตระการตาลืมกันไม่ลงจริงๆ
มาถึงไปถึงสี่โมงเย็นเพื่อจะได้ส่วนลดค่าเข้าเหลือ 4800 เยน คุ้มกับการนั่งรถไฟไปกลับเกือบ 4 ชม.เพื่อไปดูไฟเลย
ไฟนี้จะเปิดถึงวันที่ 18 เมษ.ปีนี้ค่ะ
เป้าหมายที่เล็งไว้แต่ไม่ได้ไปในทริปนี้คือ แหล่งออนเซน Unzen Onsen , ปราสาทชิมาบาระ (Shimabara Castle) เอาไว้กลับมาเก็บอีกทีในครั้งหน้าน่ะจ๊ะ
K u m a m o t o
มาถึงคุมาโมโต้ทั้งที ก็ต้องมาปราสาทคุมาโมโต้กันก่อน แต่ก่อนจะมาถึงปราสาท ขอนั่งรถไฟสายที่โด่งดังมากที่สุดสายหนึ่งของคิวชูนั่นคือ Aso Boy ซึ่งเป็นขบวนที่เหมือนสนามเด็กเล่น ทุกมุมน่ารักและทำมาเพื่อเด็กๆโดยเฉพาะจริงๆ เป็นขบวนที่วิ่งระหว่าง Kumamoto ไปกลับ Miyaji โดยผ่าน Mt.Aso ขบวนนี้จองยากหน่อย ถ้าใครจะนั่งก็ต้องรีบจองกันเลยนะคะ
ตารางเดินรถไฟ Aso Boy ค่ะ ดูเล็งวันกันไว้ก่อน จะได้วางแผนการเดินทางได้
Everthing in Kumamoto is Kumamon
อยู่เมืองนี้ เข้าร้านไหน มองไปทางไหนต้องคุมะมงเท่านั้น เพราะคุมะมงเป็นหมีมาสคอตซึ่งสร้างโดยรัฐบาลท้องถิ่นของจังหวัดคุมาโมโต้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี่เองค่ะ
ปราสาทคุมาโมโต้ (Kumamoto Castle)
นอกจากจะเป็นปราสาทที่แข็งแกร่งที่สุดในญี่ปุ่นแล้ว ที่นี่ยังเป็น 1 ใน 3 ปราสาทที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะไม่มาเยี่ยมชมที่นี่ถ้ามาถึงเมืองนี้น่ะจ๊ะ
การเดินทางจากสถานี Kumomoto-eki mae ด้วยรถบัส Kumamoto Castle Loop Bus ให้ลงที่ป้าย Kumamoto-jo mae ใช้เวลาประมาณ 10 นาที รถจะจอดที่ฝั่งตรงข้าม ให้เดินตามป้ายบอกทางหรือฝูงชนก็จะไม่มีหลงแน่นอนค่ะ
สวน Suizenji
มาญี่ปุ่น อย่ามัวเอาแต่วิ่งถ่ายรูปนะคะ เผื่อเวลาไว้สัมผัสวิถีเซน ลองสโลว์ไลฟ์นั่งจิบชากลางสวน Suizenji ใช้ชีวิตแบบคนญี่ปุ่นกับบ้าง ซึ่งที่นี่เป็นสวนญี่ปุ่นที่มีแลนด์สเคปสวยมากๆอยู่กลางเมืองคุมาโมโต้เลยค่ะ
การเดินทาง ในคุมาโมโต้ง่ายที่สุดในจักรวาล City tram หรือรถรางของเมืองซึ่งมีอยู่แค่ 2 สายคือ A และ B จะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองหมด เช่นสวน Suizenji นี่ก็นั่งรถสาย A จากหน้าสถานีรถไฟ (ป้าย 3) ไปป้ายที่ 18 หรือ ไปปราสาทคุมาโมโต้ก็ลงที่ป้าย 10 ส่วนขากลับก็นั่งสาย A กลับมาสถานีป้าย 3 อีกเช่นกัน
ข้อเสียของรถรางคือมันวิ่งช้าและส่วนมากมีตู้เดียว เพราะฉะนั้นคนเยอะและการเดินทางมันไม่รวดเร็วฉับไวเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆในญี่ปุ่นที่เราคุ้นเคยกันนะคะ ค่าโดยสารต่อเที่ยว 150 เยน แต่แนะนำให้ซื้อ Day pass ซึ่งมีหลายแบบ แนะนำแบบวันล่ะ 400 เยนก็ครอบคลุมจุดท่องเที่ยวใน 1 วันแล้วค่ะ
เข้าสวนไปเลี้ยวขวาเดินนิดเดียวก็ถึงอุโมงค์ต้นไม้ที่เห็นมันควรจะแดง ต้นเมเปิ้ลที่ร้านชาที่อยู่หน้าโต๊ะที่แอดมินนั่งก็ควรจะแดง แต่ตอนที่ไปมันยังไม่แดง (แทบไม่มีที่ไหนแดงเลย ฮ่าๆๆ) เพราะฉะนั้นคนที่มาหลังธค. จะเห็นมุมนี้สวยมาก ^^
ร้านนี้ชาเขียวอร่อยมากกกกกกกกกก ทำเลดีงามเพราะอยู่ริมน้ำในสวน Suizenji เลย
เป็นอีกช่วงเวลาที่นั่งชิลล์ ไป ชิบชาไป ชมวิวไป จริงๆการมาเที่ยวคนเดียวแบบนี้ก็ดีไปอย่าง เราสามารถเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้ตามใจเราล้วนๆ ถ้ามากับเพื่อนอาจจะเลือกไปเดินช๊อปที่ถนนคนเดินแทนที่จะมานั่งจิบชาในสวนอย่างเย็นใจแบบนี้ก็ได้ ใช่แล้วค่ะ เราเลือกที่จะใช้เวลาอยู่ที่นี่ มากกว่าที่จะไปเดินเล่นถนนคนเดิน ^^
ขนมโมจิใส้ถั่ว (มั้ง) กับชาเขียวถ้วยนี้ชุดล่ะ 550 ค่ะ
แม้จะหมดหวังกับการตามหาใบไม้แดงอย่างที่ตั้งใจ แต่ก็ไม่วายเดินหาจนเจอ เมืองทั้งเมืองเจออยู่สองต้นนี่แหล่ะ
สวน Suizenji เป็นสวนที่มีภูมิทัศน์สวยงามมากๆๆ มาเที่ยวคุมาโมโต้อย่าลืมแวะมานั่งเล่นนะคะ นี่ก็นั่งจนไม่ได้เข้าห้าง ไม่ได้ไปถนนคนเดินกันเลย ฮ่าๆๆ
Kagoshima
จังหวัดคาโกชิม่า (Kagoshima Ken) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะคิวชู โดยมีเมืองคาโกชิม่าเป็นเมืองหลวง เดิมชื่อ ซัทซึมะ ถือเป็นเมืองใหญ่สุดทางตอนใต้ของญี่ปุ่น เป็นเมืองศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม วัฒนธรรมและคมนาคมของคิวชูใต้ นอกจากฮากาตะ สถานีรถไฟคาโกชิม่ามีศูนย์การค้าในสถานีรถไฟใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดในคิวชู เพราะฉะนั้นพักใกล้สถานีนี้ชีวิตสะดวกที่สุด และเป็นเมืองที่มีภูเขาไฟ Sakurajima ที่ยังคุกรุ่นอยู่ห่างไปเพียง 4 กิโลเมตร
สถานีรถรางที่เมืองคาโกชิม่า (Kagoshima) สวยจังเลย ปูหญ้าแบบนี้แล้วทำให้ทัศนียภาพสวยขึ้นพันเปอร์เซนต์ ไอเดียเค้าดีจัง
จุดหมายหลักในการมาคาโกชิม่าคือมาแช่ทรายร้อนที่เมือง Ibusuki เลยจ้า สำเร็จภาระกิจก็ย้ายเมืองต่อได้ อิอิ
M i y a z a k i
Takachiho Gorge เป็นช่องผาลึกที่เกิดจาการกัดเซาะของแม่น้ำ gokase ที่นี่สามารถเดินทางจาก Aso โดยนั่งรถไฟมาต่อรถบัสแค่ 2 ชั่วโมง และสามารถนั่งรถบัสกลับสถานี Kumamoto ได้เลยแต่เราชอบของยากขอนั่งรถสองสามต่อจาก Miyazaki ไปต่อรถบัสที่ Nobeoka เพื่อไป Takachiho ไปกันหลายต่อเดินทางไกลหน่อยแต่คุ้มค่าค่ะ
วันนี้ขอเล่ายาวหน่อยเพราะเป็นวันที่ยาวจริงๆ ……
ตอนเช้าตกรถไฟเที่ยว 8:07 จากสถานีมิยาซากิเลยต้องขึ้
สรุปรวมเวลาเดินทางทั้งหมด 10 ชม. เพื่อจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ ชม.ครึ่ง ฮ่าๆๆขำ คนอื่นเค้าจะดูใบไม้แดงก็แค่ไปวัดในเมืองเก๋ๆ แต่ของเราทำไมมันยากจัง ฮ่าๆๆๆ
อ้อ ถ้าจะนั่งรถเล่นชมวิวแบบนี้ให้ซื้อตั๋ว bus day pass ที่ Nobeoka bus center ไปกลับ 1800 เยนค่ะ ตั๋วนี้จะรวม bus excursion แวะเที่ยวศาลเจ้าและนั่งฟรี
Sun Messe Nichinan
ตั้งใจมาที่นี่เพราะรูปปั้นหินโมอายทั้ง 7 ตัวที่สร้างใหม่ตามแบบของเกาะ
การเดินทาง …… ลืมสายรถเมล์แล้ว ฮ่าๆๆ แต่นั่งรถเมล์ตรงจากสถานมิยาซากิได้เลยค่ะ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ถ้างงงวยก็เดินถือรูปเข้าไปถามออฟฟิศดูแล้วบอกว่า จะไป Sun Messe เค้าก็จะบอก เจ้าหน้าที่ที่นี่พอสื่อสารภ.อังกฤษได้ค่ะ เค้าจะบอกให้เราไปรอที่ป้ายไหน อย่างไร ไม่ยากค่ะ (ไม่รู้คำตอบจะได้ช่วยได้มั้ย แต่ตัวเองทำแบบนี้ค่ะ อิอิ)
ศาลเจ้ายูโดะ (Udo Jingo) อยู่ที่ชายฝั่งทะเลนิชินาน(Nichinan) ทางตอนใต้ของมิยาซากิ ถูกสร้างขึ้นเพื่อบิดาของจักรพรรดิองค์แรกของญี่ปุ่น ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่แตกต่างจากศาลเข้าที่อื่น คือสร้างฝังตัวอยู่ในถ้ำริมหน้าผา หันหน้าออกทะเลทำให้ได้วิวทิวทัศน์ที่งดงามมาก ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าจักรพรรดิองค์แรกของญี่ปุ่นเติบโตขึ้นมาจากน้ำนมที่ไหลออกมาจากหินที่มีรูปร่างคล้ายเต้านมภายในถ้ำ ทำให้ถ้ำนี้ยังมีชื่อเสียงเรื่องการให้กำเนิดบุตร และการแต่งงานด้วย
การเดินทาง ใช้วิธีเดียวกับ Sun Messe ด้านบน เพราะอยู่เลยมาอีกป้ายเดียวค่ะ ให้ลงที่ป้าย Udo Jingu Iriguchi ค่ะ
วิวข้างทางรถไฟจากมิยาซากิไปเบปปุ ฟ้าใสเป็นใจแล้ว
B e p p u
เบปปุ เมืองแห่งน้ำพุร้อน มาทั้งทีต้องไปบ่อนรก(Jigoku Meguri) ทั้ง 8 ให้ครบ ซึ่งไปมาครบแล้วค่ะเย้ ไปถึงก็ซื้อ Beppu Free Pass ราคา 900 เยน ในการขึ้นรถบัส เที่ยวในตัวเมืองเบปปุและบ่อน้ำพุร้อนทั้ง 8 เดินเที่ยวกัน 2 ชุด (1-6 และ 7-8) ที่นี่เที่ยวง่ายมีเวลาแค่สามสี่ชม.ก็ไปได้ครบแล้วค่ะ
ขบวนรถไฟในฝัน Yufuin No Mori จาก Beppu to Hakata ต้องจองล่วงหน้ากันเป็นอาทิตย์เลยค่ะ แอดมินจองตั้งแต่ตอนอยู่ฟูกุโอกะกันเลย แต่ถ้าอยากนั่งแล้วจองไม่ทันก็นั่งระยะสั้นจาก Yufuin to Oita หรือ Beppu ได้ค่ะไม่ต้องจองก็มีโอกาสนั่งสูงมากๆๆ ลองมาแล้ว รถว่างมากๆๆเหมือนขบวนส่วนตัวเลย
เราซื้อ JR ใหญ่ไป 14 วัน เวลาจองก็โชว์พาส บอกวันแล้วเค้าก็จองให้เลยค่ะ ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มซักบาท
Y u f u i n
เมืองนี้คือเมืองที่อยากมาที่สุดในคิวชู ตลอดทริปอากาศไม่หนาวเอาซะเลย มาถึงที่นี่ปุ๊บ อากาศหนาวปั๊บ มีฝนปรอยๆบ้าง ไม่มีแดดแต่มีหมอกงามๆให้ชมกัน บรรยากาศชิลล์เมืองน่ารักมากๆเหมือนที่เรารู้ๆกัน 10 วันในคิวชู ขอบอกดังๆว่าชอบเมืองนี้มากที่สุด
ตอนไปได้เห็นใบไม้แดงเหลืองบ้างแล้วแถวๆทะเลสาบ คิวชูมีให้เห็นกันแล้วนะคะ เที่ยวนานเลยกว่าจะได้เห็นกัน
เอาให้ชัวร์ ต้องเดินกันสุดทางถึงทะเลสาบกันเลย
บ๊ายบายคิวชูแล้วค่ะ อยู่กันมา 10 วัน ครั้งนี้เป็นการมาญี่ปุ่นเป็นครั้งที่ 9 แต่เพิ่งมาคิวชูครั้งแรก เกาะนี้สดใหม่และมีอะไรดีกว่าที่คิด ชอบเที่ยวเมืองเล็กๆเงียบสง
ทริปนี้เที่ยวเป็นวงกลมลูปให
O s a k a
ในส่วนของคันไซ จะไม่บรรยายอะไรมากนะคะ เพราะมันยาวมากกๆๆแล้ว เอาเป็นว่าชมภาพกันเพลินๆไปก่อน ส่วนเนื้อหาจะไปอยู่ในหนังสือที่จะเปิดตัวในงานหนังสือเดือนมีค.นี้
อย่าลืมติดตามกันนะคะ ^^
A r a s h i y a m a
K y o t o
วัดคิโยมิซิ เดระ (วัดน้ำใส) Kiyomizu Dera คนเยอะมากกกกกตลอดกาล โดยเฉพาะช่วงคิวรอไลท์อัพ ทริปนี้หาที่พักในเกียวโตไม่ได้ เลยต้องนอนที่โอซาก้าแล้วนั่งรถไฟไปกลับทุกวัน ขากลับออกมาเจอคิวคนรอเข้าแล้วอยากจะเป็นลมแทน คิวยาวไปจนถึงสามแยกและยังเข้ามาเรื่อยๆ เกียวโตคนเยอะทุกที่จริงๆๆ
มาเที่ยวแบบนี้วันนึงเดินๆแบกๆรอคิวและถ่ายรูป สำหรับเรา เที่ยวได้อย่างมากวันล่ะ 2 ที่เองค่ะ วัดสวยๆดังๆในเกียวโตยังไม่ได้ไปอีกตั้งเยอะ ขนาดมาครั้งที่ 2 แล้วน่ะเนี่ย ยังไปไม่ถึงไหน มัวแต่เดินถ่ายรูป ไม่เป็นไร ค่อยมาตามเก็บกันอีกรอบ ^^
วัด Ei-kan do เกียวโตสวยที่สุดจริงๆ
ตะลึงตั้งแต่หน้าประตู ทางเดิน สวนมุมนั้นมุมนี้ สระน้ำ สะพาน สวยทุกมุมจนตาลายถ่ายรูปไม่ถูกไปไม่เป็นกันเลยค่ะ นั่งรถสาย 5 จากป้าย A1 สถานีเกียวโตมาซัก 20 นาที ฟังประกาศดีๆค่ะ เค้ามีประกาศภาษาอังกฤษ ลงไม่ผิดแน่นอน ^^
อ้อ ใช้ bus day pass 500 เยน คุ้มกว่านะคะ เพราะนั่งเที่ยวเดียว 230 เยนแล้วค่ะ
N a r a
2 อาทิตย์พอดี วันนี้เป็นวันที่เดินทางทริปญี่ป่นใบไม้แดงมาเป็นวันสุดท้ายแล้วค่ะ 10 วันในคิวชูได้เห็นอะไรมากมายเพราะทุกเมืองคือครั้งแรกของเราเลย เมืองเล็กๆเงียบสงบน่ารักรู้สึกผ่อนคลายไม่วุ่นวาย แต่ก็แทบไม่ได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีอย่างที่ตั้งใจ (ก็แน่ล่ะ เพราะคิวชูไม่ใช่จุดหมายหลักในการชมใบไม้เปลี่ยนสีนี่หน่า)
ส่วนโอซาก้า เกียวโตก็พลุกพล่าน นักท่องเที่ยวมากมายเยอะจนตาลายแต่ก็เป็นจุดที่ได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามเป็นครั้งแรกในชีวิต แม้จะผิดไปจากความฝันไว้นิดหน่อยคืออยากไปเที่ยวตามชนบท ขับรถไปเรื่อยๆชมใบไม้แดงเหลืองแถวๆบ้านนอก มาเป็นเที่ยวชมกันในวัดที่คนแน่นขนัด แต่ก็ตื่นตาตื่นใจไม่น้อยค่ะ มีโอกาสต้องจัดทริปตามหาใบไม้แดงตามป่าตามเขากันซักทริปซะแล้ว
มานาราก็ต้องมาวัดไทโคจิ (Todaiji) สิน่ะ วันอาทิตย์ นักท่องเที่ยวเยอะแต่น้อยมากๆๆเมื่อเทียบกับที่เกียวโต ค่อยหายใจสะดวกหน่อย อิอิ
ขอจบทริปสว.วัยรุ่นหัวใจฟรุ้งฟริ้งแบกเป้ตะลุยญีปุ่นคนเดียว 15 วัน 11 เมืองไว้ตรงนี้ค่ะ ทริปนี้แม้จะมีวันชิลล์เนื่องจากฝนตกอยู่หลายวันแต่ก็เหนื่อยมากเพราะล้าสะสมมาตั้งแต่ทริปฝรั่งเศส เที่ยวกันยาวนานมาเดือนครึ่ง ทั้งขาทั้งเท้าทั้งไหลทั้งหลังพังหมด ฮ่าๆๆ ไม่ได้เที่ยวต่างแดนคนเดียวนานๆแบบนี้นานมาก หอบหิ้วข้าวของย้ายโรงแรมแทบทุกวัน มือถือแผนที่ ดูตารางรถ นั่งรถไฟต่อรถบัส เดินหาที่เที่ยว เดินหาโรงแรม ระแวงตกรถที่สุดเพราะตกแล้วตกเลย รออีกคันเป็นชม.เสียเวลากันไป
วันนึงเที่ยวได้อย่างมาก 2 ที่ เพราะฉะนั้นต้องจัดเวลาเที่ยวในเวลาที่จำกัด ให้ดี ตกรถไม่ได้ เพราะตกแล้วแปลนรวนทั้งวัน ต้องแบกเป้หนักเป็นหินเกือบสิบกิโลตั้งแต่เช้ายันค่ำ เดินขึ้นเขาลูกนั้น ต่อเขาลูกนี้ เดินกันวันนึงหลายสิบๆกม. เหนื่อยมากแต่ต้องทนเพราะไม่มีใครช่วยแบ่งเบา ฮ่าๆๆ บางครั้งร่างกายมันท้อแล้วแต่ใจมันยังสู้เกินร้อย มันก็ไปต่อได้ เที่ยวจนลืมอายุกันเลย นี่ถ้าย้อนกลับไปสมัยสาวๆ หนุ่มๆสมัยนี้มีอายน่ะ เพราะคุณป้าอึดและถึกมากกกว่าที่เห็นตอนนี้เยอะน่ะ ฮ่าๆๆ
ไม่ได้เที่ยวฟิลแบบนี้นานเลย แม้เป้าหมายแรกของทริปนี้คือตามหาใบไม้แดงในภูมิภาคที่หายากและโดดเด่นน้อยกว่าที่อื่น แต่เที่ยวไปเที่ยวมาก็ไม่หวังอะไรแล้ว ขอแค่ฝนไม่ตกและไปเที่ยวในที่ๆอยากไปตามเท่าที่เวลาและร่างกายจะอำนวย ได้เห็นอะไรที่แตกต่าง ได้เห็นญี่ปุ่นหลายๆมุม ได้ไปเที่ยวใหม่ๆ ได้ใช้เวลากับตัวเองอย่างเป็นอิสระเต็มที่ และทำให้เข้าใจคำที่ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นี่มันเป็นอย่างไร
จะเป็นอีกหนึ่งทริปในความทรงจำมิรู้ลืมเลยค่ะ ^^
ค่าใช้จ่ายทริปนี้ไม่รวมตั๋วเครื่องบินและค่าช๊อปปิ้ง
JR pass 14 วัน 13xxx
ค่าที่พักตลอดทริป 21xxx (พักดีหมดยกเว้น 3 คืนสุดท้ายนอน hostel ที่โอซาก้าคืนล่ะพันสอง)
ค่ากิน + ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ + ค่าเดินทางยิบย่อย ประมาณหมื่นกว่าบาท
ลิงค์ที่จำเป็นสำหรับทริปนี้
ที่พัก Expedia Thailand ===> http://bit.ly/ExpJPatbg5
สายการบิน Thai AirAsia X ==> http://www.airasia.com/th/th/home.page?cid=1
Pocket WiFi ===> http://www.bs-mobile.jp/th
ตารางรถไฟชินคังเซ็น ===> http://www.shinkansen.co.jp/jikoku_hyo/en
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เที่ยวง่าย ผู้คนน่ารัก อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ มีงบมากก็กินหรูไปเลยของเค้าดีจริงๆ งบน้อยก็ซื้อตอนลดราคาในซุปเปอร์มาเร์เก็ตได้ แต่เอาเข้าจริงๆ ราคาอาหารที่นี่ไม่แพงมากมายนะคะ อาหารญี่ปุ่นบ้านเรายังแพงกว่าด้วยซ้ำ สรุปว่ามาเที่ยวญี่ปุ่น อิ่มตา อิ่มใจ สบายพุงค่ะ ^^